วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563

การนำเสนอสารเกี่ยวกับภาษาไทย



การนําเสนอข้อมูลด้วยวาจา💋


⧭ ความหมายของการนำเสนอข้อมูลด้วยวาจา

            การนําเสนอข้อมูลด้วยวาจา หมายถึง การสื่อสารโดยการพูดเพื่อถ่ายทอดข้อมูลหรือแนวคิด ให้ผู้ฟังมีความเข้าใจหรือมีทัศนคติตามวัตถุประสงค์ที่ผู้นําเสนอได้ตั้งไว้ภายในระยะเวลาอันจํากัดหรือภายในเวลาที่ถูกกําหนดไว้

รูปแบบของการนําเสนอข้อมูลด้วยวาจา

            การนําเสนอข้อมูล เป็นการสื่อสารที่มีความแตกต่างกันในแนวทางปฏิบัติ รูปแบบของการนํำเสนอแบ่งตามลักษณะ ขนาด และจํานวนของผู้ฟัง ดังนี้
             ๑. การนําเสนอเฉพาะกลุ่ม เป็นการนําเสนอข้อมูลต่าง ๆ ต่อผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรับทราบข้อมูลในการนําเสนอ
             ๒. การนําเสนอในที่ประชุมชน เป็นการนําเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่มีผู้เข้ารับฟังเป็นจํานวนมาก อาจมีบุคคลทั่วไปเข้าร่วมฟังการนําเสนอได้และเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถามเพิ่มเติมได้อีกด้วย เช่น การฟังอภิปราย การบรรยายความรู้ เป็นต้น

ลักษณะที่ดีของการนําเสนอข้อมูลด้วยวาจา

            การนําเสนอที่ดีจะทําให้ผู้รับการนําเสนอมีความพึงพอใจ ชื่นชม และเกิดการยอมรับยกย่องให้เกียรติสําหรับผู้นําเสนอจึงจะถือได้ว่าการนําเสนอได้รับผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์โดยทั่วไปลักษณะของการนําเสนอข้อมูลที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้
            ๑. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน กล่าวคือ มีความแน่ชัดว่าเป็นการนําเสนอเพื่ออะไร ถ้าเป็นการนําเสนอ เพื่อพิจารณา ผู้รับการนําเสนอจะทราบได้โดยทันทีว่าจะต้องพิจารณาสิ่งใด หากเป็นการนําเสนอเพื่อขออนุมัติผู้บังคับบัญชาจะทราบได้โดยไม่ต้องซักถามว่าเป็นเรื่องใด
            ๒. มีรูปแบบการนําเสนอเหมาะสม กล่าวคือ มีความเหมาะสมกับเรื่องและสถานการณ์ที่จะนํำเสนอ การเรียบเรียงเชิงภาษาต้องกะทัดรัดได้ใจความลําดับความได้ดี ใช้ภาษาเข้าใจง่าย มีการใช้อุปกรณ์ประกอบ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผ่นภาพ ตามความเหมาะสมเพื่อช่วยให้ผู้รับการนําเสนอพิจารณาข้อมูลได้โดยสะดวก
            ๓. มีเนื้อหาสาระดี กล่าวคือ สาระที่นําเสนอมาทั้งหมดจะต้องมีความเที่ยงตรง ทันสมัย ถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามความต้องการ มีเนื้อหาข้อมูลเพียงพอแก่การนํามาพิจารณา เป็นที่น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
            ๔. มีข้อเสนอที่ดี กล่าวคือ เมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นได้ชัดว่าเป็นข้อเสนอที่สมเหตุสมผล ยิ่งมีการพิจารณาเปรียบเทียบก็จะพบว่าข้อเสนอเป็นทางเลือกที่เห็นได้ชัดเจนในข้อสรุปและข้อเสนอแนะ แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เช่นนี้จึงจัดได้ว่าเป็นข้อมูลการนําเสนอที่ดีจะทําให้ผู้รับการนําเสนอที่ดี


การเตรียมการนําเสนอข้อมูลด้วยวาจา


           การนําเสนอข้อมูลจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาพลักษณ์ของบุคคลจัดการนําเสนอนั้น ได้ ฉะนั้นจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน โดยพิจารณาเบาบ้าง โดยอาศัยหลักการ ดังนี้

            ๑. การกําหนดจุดมุ่งหมายของการนําเสนอควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการ

                        • ต้องมีจุดมุ่งหมายที่มีความเป็นไปได้

                        • ต้องคํานึงถึงผู้รับการนําเสนอเป็นหลัก
                        • ต้องมีจุดมุ่งหมายไม่มากเกินไปจนทําให้หลากหลายหรือคลุมเครือ
                        • ต้องก่อประโยชน์ทั้งต่อฝ่ายผู้นําเสนอและผู้รับการนําเสนอ
                        • ต้องกําหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
          ๒. การกำหนดโครงร่างในการนำเสนอ
                โครงร่างในการนำเสนอ เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การนำเสนอมีความชัดเจนสมบูรณ์ครบถ้วนตามเนื้อหาของการนำเสนอ จึงควรกำหนดโครงร่างตามหลักการ ดังนี้
๑) กำหนดสัดส่วนของเนื้อหา ควรกำหนดสัดส่งวนคิดเป็นร้อยละขององค์ประกอบในการนำเสนอ ดังนี้
                     • ส่วนนำ (Introduction) ๑๐%
                     • ส่วนหน้า(Body) ๘๐%
                     • ส่วนสรุป(Conclusion) ๑๐%
๒) กําหนดลําดับเรื่องตามโครงร่างของการนําเสนอ
                    • เรียงตามลําดับเวลาหรือเหตุการณ์
                     • เรียงตามกระบวนการและขั้นตอน
                  • เรียงตามประเด็นกลุ่มใหญ่ตามด้วยกลุ่มย่อย
 ๓) กําหนดสาระของเนื้อหาในการนําเสนอ
                    • ส่วนนำ  ต้องมีการเกริ่นนําให้น่าสนใจหรือเร้าความสนใจผู้ฟัง
                     • ส่วนเนื้อหา ต้องกลมกลืนสอดคล้องกับส่วนนําที่เปิดเรื่องไว้
                    • ส่วนสรุป ต้องก่อให้เกิดความประทับใจหรือจับใจผู้ฟัง
 ๓. การจัดทําโครงร่างการนําเสนอ
                    การจัดทําโครงร่างการนําเสนอจะต้องคํานึงถึงหลักการและวัตถุประสงค์เฉพาะของการนําเสนอ แต่ละรูปแบบ โครงร่างการนําเสนอสามารถจัดทํา
             ๔. การเตรียมข้อมูลเนื้อหาที่จะนําเสนอการจัดเตรียมข้อมูลเนื้อหาที่จะนําเสนอ ควรมีรายละเอียดที่ครบถ้วน คําถามหรือข้อสงสัยใด ๆ ฉะนั้น จึงควรกําหนดกรอบของเนื้อหา ดังนี้
                    • ควรกล่าวนําหรือที่เรียกว่า อารัมภบท เกริ่นให้รู้ว่าผู้นําเสนอเป็นใคร และนำเสนอในนามของหน่วยงานใด
                    • ควรบอกชื่อเรื่องทําน้ําเสนอ พร้อมด้วยวัตถุประสงค์ บอกระยะเวลาที่จะใช้ในการนาเสนอ มีการเสนอข้อมูลให้พิจารณามาก่อนแล้วก็ควรแจ้งให้ทราบด้วย
                    • ควรกล่าวถึงความเป็นมาของเรื่อง ให้รู้ว่าความเดิมก่อนที่จะนําเสนอว่ามีประวัติอย่างไร
                    • ควรเห็นสภาพปัญหา สาเหตุของปัญหาและตัวแปรที่สัมพันธ์เกี่ยวข้อง เช่น กฎระเบียบข้อกําหนดต่าง ๆ ข้อกฎหมาย เป็นต้น
                    • ควรชี้ให้เห็นทางเลือกในการแก้ปัญหา พร้อมทั้งมีการประเมินข้อดีและข้อเสียด้วย
                    • ควรให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาและควรเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
                    • ควรมีบทสรุปทั้งข้อเท็จจริงและข้อโต้แย้ง ที่สําคัญถ้าเป็นการนําเสนอเพื่อขออนุมัติ จะต้องนําเสนอถึงขั้นตอนการดําเนินงานต่อไปหากได้รับการอนุมัติ

              ๕. การกําหนดลําดับข้อมูลในการนําเสนอการจัดลําดับข้อมูลในการนําเสนอต้องมีความสอดคล้องต่อเนื่องกันไป เพื่อความสมบูรณ์ของ เนื้อหาในการนําเสนอ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างสําหรับใช้ในการลําดับข้อมูลในการนําเสนอ กับบางสถานการณ์ที่ นักศึกษาควรทราบ ดังนี้
     
            ๑) การนําเสนอเพื่อรายงานการวิจัย
                    • ทักทายผู้ฟังและแนะนําตัว
                    • แนะนําชื่อผลงานวิจัย
                    • ลักษณะความเป็นมาของปัญหา
                    • ข้อสมมติฐานหรือสาเหตุของปัญหา
                    • วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
                    • วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลความหมาย
                    • สรุปสาระสําคัญที่ค้นพบ
                    • การอภิปรายผล
                    • ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้

                 ๒) การนําเสนอเพื่อรายงานผลการดําเนินงาน
                    • ทักทายผู้ฟังและแนะนำตัวหรือหน่วยงาน
                    • แนะนําชื่อโครงงานหรือโครงการ
                    • บอกวัตถุประสงค์
                    • บอกการกิคที่ปฏิบัติหรือรับผิด
                    • บอกอุปสรรคและ ญาจาที่พบ
                    • สรุปความสําคัญของข้อมูลที่องต่อเป้าหมายขององค์กร

                 ๓) การนําเสนอแนวทางแก้ปัญหา
                    • ทักทายผู้ฟังและแนงานกตัว
                    • บอกวัตถุประสงค์
                    • บอกแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาในอนาคต
                    • ชี้ให้เห็นปัจจัยที่อาจจะทําให้เกิดปัญหา
                    • บอกสาเหตุที่ทําให้เกิดปัญหา
                    • แนะแนวทาง/ วิธีการลดปัญหา
                    • สรุปแผนการดําเนินการและกําหนดเวลา

                 ๔) การบรรยายสรุปหน่วยงาน
                    • ทักทายผู้ฟัง แนะนําตัวหรือหน่วยงาน
                    • บอกความเป็นมาของหน่วยงาน
                    • บรรยายภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
                    •ชี้แจงแผนงาน/โครงการที่ปฏิบัติ
                    • บอกความสําเร็จและปัจจัยแห่งความสําเร็จ
                    • สรุปปัญหา/อุปสรรคและการแก้ไข
                    • วางแผนงานในอนาคต

                 ๕) การนําเสนอขายสินค้า
                    • แนะนําชื่อสินค้า
                    • บอกวัตถุประสงค์
                    • วิเคราะห์ความต้องการของผู้ฟัง
                    • บอกความน่าสนใจในสิ่งที่เสนอขาย
                    • ชี้ให้ผู้ฟังเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ
                    • บอกขั้นตอนต่อไปในการดําเนินการ

                 ๖) กําหนดเทคนิคและเตรียมโสตทัศนูปกรณ์
                      การใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ประกอบการนําเสนอมีประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้นําเสนอควรเลือกพิจารณาใช้สื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ในการนําเสนอ โดยอาศัยหลักการ ดังนี้
                    • เลือกประเภทของสื่อให้ตรงและเหมาะสมกับเรื่องที่นําเสนอ
                    • สือที่มีข้อความควรเลือกเฉพาะข้อความที่สื่อความหมายได้ง่ายในประเด็นหลัก
                    • ไม่ควรใช้สื่อแทนการนําเสนอ แต่ใช้ในลักษณะของการสนับสนุนการนําเสนอ
                    • การใช้สื่อควรมีการจัดเตรียมให้พร้อมและฝึกซ้อมการใช้ให้คล่องแคล่ว
                         ประโยชน์ของการใช้สื่อในการนําเสนอ มีดังนี้
                    • ช่วยประหยัดเวลาในการอธิบาย
                    • ช่วยทําให้ผู้ฟังติดตามการนําเสนอได้พร้อมกัน
                    • ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจและเห็นภาพพจน์ของเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น

                  ๗) การฝึกซ้อมการนําเสนอ
                       การฝึกซ้อมการนําเสนอเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการเตรียมการนําเสนอที่มีความสําคัญ ข้อควรปฏิบัติของการฝึกซ้อม มีดังนี้
                    • ควรฝึกซ้อมโดยการพูดออกเสียงดัง ๆ ฝึกซ้อมการนําเสนอหน้ากระจกหรือต่อหน้าผู้อื่นเช่น ครอบครัว เพื่อน และผู้ร่วมงาน
                    • ควรใช้นาฬิกาช่วยจับเวลา โดยเฉพาะในกรณีที่การนําเสนอมีช่วงเวลาสั้นมาก ๆ เช่น ให้เวลานําเสนอเพียงห้านาทีเท่านั้น
                    • ควรจําเนื้อหาการนําเสนอให้ได้ จะได้ไม่ต้องกังวลที่จะมองดูหรืออ่านเนื้อหาในกระดานบันทึกเป็นระยะ ๆ ทําให้ขาดความมั่นใจเวลานําเสนอต่อหน้าผู้ฟัง
                    • ควรบันทึกภาพหรือเสียงของตนเองในขณะฝึกซ้อมไว้ วิธีนี้จะช่วยให้ทราบข้อบกพร่องแก หาวิธีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้การนําเสนอมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น


⧭ ข้อดีของการฝึกซ้อมการนําเสนอ มีดังนี้

 • ทําให้เกิดความมั่นใจในการนําเสนอมากยิ่งขึ้น
 • ทําให้มีโอกาสได้แก้ไขข้อผิดพลาดที่พบได้ในระหว่างฝึกซ้อม
 • ทําให้การนําเสนอมีความสมบูรณ์ไม่หลงลืมประเด็นสําคัญ
 • ทําให้ใช้อุปกรณ์ในการนําเสนอได้ถูกต้องตามลําดับขั้นตอน
 • ทําให้การนําเสนอมีโอกาสประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์

⧭ การใช้ภาษาในการนําเสนอข้อมูล ควรมีลักษณะดังนี้

(๑) ควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
(๒) มีลักษณะเป็นภาษาพูดมากกว่าการอ่าน
(๓) ควรใช้ภาษาที่เป็นแบบแผนในการนําเสนอ
(๔) พูดอย่างเป็นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา
(๕) ใช้ถ้อยคําที่สุภาพอันแสดงให้เห็นถึงความมีมารยาท
(๖) พยายามใช้ถ้อยคําเชื่อมโยงจากตอนหนึ่งไปสู่อีกตอนหนึ่งให้สอดคล้องกลมกลืน

หลักการเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต


              💻 หลักการเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต 💻

           สถานภาพการรับรู้ข่าวสารและการสื่อสารของประชาคมโลกมีศักยภาพสูงขึ้นจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารในสังคมโลกาภิวัฒน์ การเลือกรับข่าวสารต่างๆ มีความหลากหลายในเวลาเดียวกัน อินเทอร์เน็ตกลายเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารของประชาชนทุกเพศทุกวัยและในทุกระดับ
           กล่าวได้ว่าในปัจจุบันไม่มีใครที่ไม่รู้จักอินเทอร์เน็ต สื่อสมัยใหม่ตัวนี้มีบทบาทอย่างมากในการสื่อสาร ดังจะเห็นได้จากการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ การสืบค้นเรื่องราวความรู้ในเรื่องต่างๆ แทบทุกเรื่องทำได้อย่างรวดเร็วจนได้รับสมญานามว่า ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ลักษณะข้อมูลข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต มีลักษณะเป็นสื่อผสมผสานที่ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และภาพ จากวิดีทัศน์ หรือวิดีโอ คลิปต์ ที่ขาดไม่ได้คือเสียงองค์ประกอบที่ทำให้เกิดชีวิตชีวา
ด้วยภาวะข้อมูลข่าวสารที่มีมากมายและความเปลี่ยนแปลงของสังคมในทุกด้าน บทความจึงมีหน้าที่เป็นช่องทางหนึ่งในการแสดงความคิดเห็น ให้ความรู้ ชี้แนะ และอธิบาย
บทความคือข้อเขียนประเภทหนึ่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นข้อเท็จจริงบวกกับข้อคิดเห็นและเหตุผลที่เชื่อถือได้ของผู้เขียนต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์หนึ่งๆ ด้วยสำนวนภาษาที่แตกต่างกันขึ้นกับวัตถุประสงค์ของบทความแต่ละประเภท
ลักษณะเนื้อหาของบทความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อสังคมหรือเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน

🔔วัตถุประสงค์ของการเขียนบทความ
การเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตมีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับบทความที่พบเห็นในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ดังนี้
           1. เพื่ออธิบาย มีลักษณะเป็นการให้ข้อมูล ให้ภูมิหลัง และข้อเท็จจริงอย่างละเอียด เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย ในเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ซับซ้อน โดยใช้ภาษาที่ผู้อ่านทั่วไปเข้าใจได้
           2. เพื่อรายงานหรือกระตุ้นความสนใจ มีลักษณะคล้ายๆ กับการเขียนเพื่ออธิบายหรือวิเคราะห์ ซึ่งพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผู้อ่านควรรู้ เป็นการรายงาน บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
           3. เพื่อให้ความรู้ การแสดงความคิดเห็นของบทความนี้คือการให้ความรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในหลายระดับตั้งแต่เกร็ดความรู้เล็กๆ จนถึงความรู้ทางวิชาการ
           4. เพื่อเสนอแนวทางแก้ไข เป็นบทความที่ผู้เขียนมุ่งอธิบายถึงข้อเท็จจริง ที่มาของปัญหาตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นพร้อมกับเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งทางก็ได้
           5. เพื่อโน้มน้าวใจ เป็นบทความที่ผู้เขียนต้องการโน้มน้าวให้เกิดการคล้อยตามความคิดเห็นในเรื่องที่กำลังนำเสนอส่วนมากมักเป็นประเด็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือโครงการรณรงค์ต่างๆ เช่น สร้างความเป็นไทย ส่งเสริมให้ใช้ของไทยประหยัดการใช้พลังงาน เป็นต้น
           6. เพื่อวิเคราะห์หรือวิจารณ์ การวิเคราะห์เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงหรือประเด็นปัญหา ตามหลักวิชาการ ชี้ให้เห็นข้อดีและข้อเสีย และผลกระทบ โดยอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อถือประกอบการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ส่วนการวิจารณ์จะเน้นในความคิดเห็นของผู้เขียนเป็นหลัก ซึ่งมาจากความรู้และประสบการณ์ที่มี โดยมองปัญหารอบด้านในทุกมิติเพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่เที่ยงตรง
           7. เพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการนำเสนอเรื่องเบาๆ ที่ผ่อนคลาย เพื่อสร้างอารมณ์ขันด้วยลีลาภาษาที่ไม่เป็นทางการเกินไป

🔔ประเภทบทความ
บทความที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
           1. บทความแนะนำวิธีปฏิบัติ เป็นบทความที่มุ่งให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ ขั้นตอนการปฏิบัติ และคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออธิบายวิธีการ กระบวนการในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินชีวิต  บทความประเภทนี้ เช่น วิธีการประหยัดไฟ การดำเนินชีวิตในยุคข้าวยากหมากแพง วิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
          2. บทความแสดงความคิดเห็นทั่วไป เป็นบทความที่มุ่งแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องใดเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งประเด็นทางสังคม เศรษฐกิจ หรือเป็นเรื่องที่ควรรู้ กำลังอยู่ในกระแสความสนใจ โดยเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นในแง่มุมต่างๆ และแสดงความคิดเห็น บทความประเภทนี้อาจเสนอแนวคิดใหม่ๆ ที่น่าสนใจที่แตกต่างจากเดิมก็ได้
           ความคิดเห็นที่เสนอในบทความนี้จะหนักเบาขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการเขียนและประเด็นเรื่องที่นำเสนอ ซึ่งอาจมีตั้งแต่เรื่องการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา สิ่งแวดล้อม สุขภาพ จนถึงเรื่องอื่นๆ ทั่วไป บทความแสดงความคิดเห็นที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตมักจะเชิญชวนให้ผู้ใช้แสดงความคิดเห็นได้ด้วย เป็นการสื่อสารแบบสองทาง
           3. บทความเชิงวิชาการ  เป็นบทความที่มุ่งถ่ายทอดความรู้ ความคิด หรือความคิดเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยนำเสนอข้อมูลที่เที่ยงตรง น่าเชื่อถือ การเขียนบทความประเภทนี้จำเป็นต้องมีการค้นคว้าข้อมูลจากเอกสาร หรือจากบุคคลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ และความคิดเห็นที่นำเสนอต้องอ้างเหตุผลตามหลักวิชาการมารองรับ มีการอ้างอิงหลักฐานหรือผลงานวิจัยประกอบการอธิบาย
4. บทความวิเคราะห์ เป็นบทความที่มุ่งวิเคราะห์เหตุการณ์ สถานการณ์ที่กำลังเป็นที่สนใจที่มีผลกระทบต่อคนในสังคมโดยการให้ภูมิหลัง เหตุผล ชี้ประเด็น แสดงความคิดเห็น บทความวิเคราะห์เป็นความคิดเห็นของบุคคลคนเดียว ซึ่งถ้ามีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนจะได้รับความเชื่อถือ

🔔หลักการเขียนบทความ
           การเขียนบทความขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการเขียน ซึ่งก็มาจากความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายว่าต้องการบทความประเภทใด
           หลักการเขียนบทความพิจารณาตั้งแต่โครงสร้างการเขียน ซึ่งประกอบด้วยการตั้งชื่อเรื่อง ความนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป
           โครงสร้างการเขียนบทความ ก็คือเป็นลักษณะทางกายภาพของบทความที่เป็นแนวทางสำหรับการนำเสนอข้อมูลความคิดที่เป็นระบบเพื่อให้ผู้อ่านติดตามความคิดของผู้เขียน ซึ่งบทความที่ดีต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน นั่นคือสาระเนื้อหา ความคิดและภาษา โครงสร้างการเขียนจึงเปรียบเหมือนกรอบที่ผู้เขียนกำหนดเนื้อหา แนวคิดที่น่าสนใจด้วยสำนวนภาษาที่ดีและเหมาะสมเพื่อให้ได้บทความแต่ละประเภทตามต้องการ
           โครงสร้างการเขียนบทความประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ความนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป แต่ละส่วนมีบทบาทหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของการเขียนดังนี้
           1. ชื่อเรื่อง  มีบทบาทในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านให้สนใจอยากอ่านบทความ จึงเป็นข้อเขียนที่สื่อสารให้ผู้อ่านทราบว่าเรื่องที่จะเขียนเป็นเรื่องอะไร
           การตั้งชื่อเรื่องที่ดีต้องบอกใจความสำคัญ ประเด็นหลักของเรื่อง เพื่อให้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน จึงควรสั้นกระชับ ได้ใจความ จดจำได้ง่าย กระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมของผู้อ่าน ชื่อเรื่องที่ดีต้องสนองวัตถุประสงค์ของการเขียนสะท้อนประเด็นปัญหาที่นำเสนอ นอกจากนี้เทคนิคการนำเสนอก็จะมีส่วนช่วยในการทำให้ชื่อเรื่องดูสะดุดตาอีกด้วย การตั้งชื่อเรื่องมีหลายลักษณะ เช่น
           - ชื่อเรื่องแบบสรุปเนื้อหา เป็นชื่อเรื่องที่บอกถึงเนื้อหาของบทความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
           - ชื่อเรื่องแบบคำถาม เป็นชื่อเรื่องที่เป็นคำถาม เพื่อกระตุ้นให้คนอยากรู้
           - ชื่อเรื่องแบบคำพูด เป็นชื่อเรื่องที่เป็นคำพูดซึ่งเป็นประเด็นหลักของเรื่องที่จะเขียน
           - ชื่อเรื่องแบบอุปมาอุปมัย เป็นชื่อเรื่องที่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ
           2. ความนำ  มีบทบาทจูงใจความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามเนื้อเรื่องต่อไปจนจบ ด้วยลีลาภาษาที่กระชับ ไม่เยิ่นเย่อ เสนอประเด็นหลักของเรื่อง ความนำที่ดีต้องสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านให้อยากอ่านบทความต่อไป ว่าเรื่องต่อไปจะเป็นอะไรมีความสำคัญและน่าสนใจตรงไหน นอกจากนี้ยังอาจบอกถึงประเด็นเรื่องที่จะเสนอในเนื้อหาด้วย ความนำของบทความต้องสื่อความคิดของผู้เขียนทันทีเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน
           การเขียนความนำมีหลายแบบ เช่น แบบพรรณนา แบบบรรยาย แบบคำถาม แบบเปรียบเทียบ แบบสร้างความสงสัย
           3. เนื้อเรื่อง  มีบทบาทในการนำเสนอประเด็นเรื่องอย่างละเอียดโดยใช้เทคนิคที่ชวนให้ติดตาม เนื้อเรื่องมาจากข้อมูลที่ผ่านการค้นคว้าจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
           เนื้อเรื่องหรือประเด็นเรื่องเป็นส่วนที่สำคัญไม่น้อย ฉะนั้นการกำหนดประเด็นเรื่องที่จะเขียนควรเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน หรือมาจากความสนใจของผู้รับผิดชอบในการจัดทำสื่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งปกติถ้าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่หรือมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต คนจะสนใจ เมื่อได้เรื่องแล้วต้องผ่านการค้นหาข้อมูลหาแง่มุมเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเรื่องหนึ่งๆ มีหลายแง่มุมที่สามารถนำมาเสนอได้
         การเขียนเนื้อเรื่องนั้นต่อเนื่องมาจากการเกริ่นนำในความนำ และเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่านต้องเสนอข้อมูล และข้อเท็จจริงที่รวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของผู้เขียนให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เนื้อหาในบทความควรมีสาระที่น่าสนใจ มีข้อมูลที่ชัดเจน โดยเฉพาะบทความวิชาการ ต้องมีหลักฐานสนับสนุนหรืออ้างอิงให้เกิดความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างการอ้างอิง เช่น จากเว็บไซด์ www. presscouncil.or.th จากวารสารสมสุข หินวิมาน วัฒนธรรมชนชั้นกลางในละครโทรทัศน์ รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 26 ( เดือนมกราคม  2543) : 35-38
ข้อเขียนที่ปรากฏทางอินเทอร์เน็ตมีลักษณะเฉพาะ กล่าวคือเป็นข้อความที่สั้น กระชับ เน้นประเด็นสำคัญของเนื้อหา ข้อเขียนทางอินเทอร์เน็ตมีลักษณะ ดังนี้
           1. เน้นประเด็นสำคัญที่เป็นจุดเด่นของเนื้อหา เพื่อให้ข้อความที่จะสื่อสารไม่ยาวเกินไปนัก ข้อเขียนที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตจะนำเสนอประเด็นที่เป็นจุดเด่นของเนื้อหาโดยตรง ลักษณะข้อเขียนจึงเป็นหัวข้อเรื่องและจะอธิบายเกี่ยวกับหัวเรื่องนั้นๆ ในสาระสำคัญเท่านั้น และจะใช้ภาพประกอบในการอธิบายเนื้อหาให้เห็นเป็นรูปธรรม ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายในการอ่านข้อความยาวๆ
           2. มีการเชื่อมโยงเนื้อหาจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งที่เรียกว่า การลิงค์ข้อความ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและอ้างอิงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้
           3. มีสารบัญเนื้อหาปรากฏอยู่ทุกหน้าของจอภาพเพื่อความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล เนื่องจากการอ่านข้อความย้อนกลับไปกลับมาทำให้ไม่สะดวก การออกแบบหน้าจอจึงควรมีสารบัญเนื้อหาควบคู่ไปกับการแสดงข้อความต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้ทันที
           4. ใช้สำนวนภาษาที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย และมีประเด็นเนื้อหาที่ชัดเจน รูปแบบสำนวนภาษาที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตต้องกระชับ ไม่เยิ่นเย่อ แต่เข้าใจง่าย และควรหลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยาก
           5. มีภาพหรือแผนภูมิหรือภาพเคลื่อนไหวประกอบเนื้อหาที่นำเสนอ เพื่อให้เกิดความสะดุดตา น่าติดตาม เรื่องนี้นับเป็นจุดเด่นของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต เพราะสามารถสื่อความหมายได้ดี นับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของข้อเขียนที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต


บรรณานุกรม
อมรพรรณ  ซุ้มโชคชัยกุล.๒๕๕๘.หลักการเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต.เข้าถึงโดย https://www.stou.ac.th/study/sumrit/12-59/page5-1-52.html

ภาษาไทยกับวัยรุ่น


ภาษาไทยกับวัยรุ่น🌈