💻 หลักการเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต 💻
สถานภาพการรับรู้ข่าวสารและการสื่อสารของประชาคมโลกมีศักยภาพสูงขึ้นจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารในสังคมโลกาภิวัฒน์
การเลือกรับข่าวสารต่างๆ มีความหลากหลายในเวลาเดียวกัน
อินเทอร์เน็ตกลายเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารของประชาชนทุกเพศทุกวัยและในทุกระดับ
กล่าวได้ว่าในปัจจุบันไม่มีใครที่ไม่รู้จักอินเทอร์เน็ต สื่อสมัยใหม่ตัวนี้มีบทบาทอย่างมากในการสื่อสาร
ดังจะเห็นได้จากการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ
การสืบค้นเรื่องราวความรู้ในเรื่องต่างๆ
แทบทุกเรื่องทำได้อย่างรวดเร็วจนได้รับสมญานามว่า ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ลักษณะข้อมูลข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต
มีลักษณะเป็นสื่อผสมผสานที่ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และภาพ
จากวิดีทัศน์ หรือวิดีโอ คลิปต์
ที่ขาดไม่ได้คือเสียงองค์ประกอบที่ทำให้เกิดชีวิตชีวา
ด้วยภาวะข้อมูลข่าวสารที่มีมากมายและความเปลี่ยนแปลงของสังคมในทุกด้าน
บทความจึงมีหน้าที่เป็นช่องทางหนึ่งในการแสดงความคิดเห็น ให้ความรู้ ชี้แนะ
และอธิบาย
บทความคือข้อเขียนประเภทหนึ่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นข้อเท็จจริงบวกกับข้อคิดเห็นและเหตุผลที่เชื่อถือได้ของผู้เขียนต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์หนึ่งๆ
ด้วยสำนวนภาษาที่แตกต่างกันขึ้นกับวัตถุประสงค์ของบทความแต่ละประเภท
ลักษณะเนื้อหาของบทความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อสังคมหรือเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน
🔔วัตถุประสงค์ของการเขียนบทความ
การเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตมีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับบทความที่พบเห็นในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร
ดังนี้
1. เพื่ออธิบาย
มีลักษณะเป็นการให้ข้อมูล ให้ภูมิหลัง และข้อเท็จจริงอย่างละเอียด
เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย ในเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ซับซ้อน
โดยใช้ภาษาที่ผู้อ่านทั่วไปเข้าใจได้
2. เพื่อรายงานหรือกระตุ้นความสนใจ
มีลักษณะคล้ายๆ กับการเขียนเพื่ออธิบายหรือวิเคราะห์
ซึ่งพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผู้อ่านควรรู้ เป็นการรายงาน
บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
3. เพื่อให้ความรู้
การแสดงความคิดเห็นของบทความนี้คือการให้ความรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในหลายระดับตั้งแต่เกร็ดความรู้เล็กๆ จนถึงความรู้ทางวิชาการ
4. เพื่อเสนอแนวทางแก้ไข
เป็นบทความที่ผู้เขียนมุ่งอธิบายถึงข้อเท็จจริง
ที่มาของปัญหาตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นพร้อมกับเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา
ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งทางก็ได้
5. เพื่อโน้มน้าวใจ
เป็นบทความที่ผู้เขียนต้องการโน้มน้าวให้เกิดการคล้อยตามความคิดเห็นในเรื่องที่กำลังนำเสนอส่วนมากมักเป็นประเด็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ
หรือโครงการรณรงค์ต่างๆ เช่น สร้างความเป็นไทย
ส่งเสริมให้ใช้ของไทยประหยัดการใช้พลังงาน เป็นต้น
6. เพื่อวิเคราะห์หรือวิจารณ์
การวิเคราะห์เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงหรือประเด็นปัญหา ตามหลักวิชาการ
ชี้ให้เห็นข้อดีและข้อเสีย และผลกระทบ
โดยอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อถือประกอบการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน
ส่วนการวิจารณ์จะเน้นในความคิดเห็นของผู้เขียนเป็นหลัก
ซึ่งมาจากความรู้และประสบการณ์ที่มี
โดยมองปัญหารอบด้านในทุกมิติเพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่เที่ยงตรง
7. เพื่อความเพลิดเพลิน
เป็นการนำเสนอเรื่องเบาๆ ที่ผ่อนคลาย เพื่อสร้างอารมณ์ขันด้วยลีลาภาษาที่ไม่เป็นทางการเกินไป
🔔ประเภทบทความ
บทความที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. บทความแนะนำวิธีปฏิบัติ
เป็นบทความที่มุ่งให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ ขั้นตอนการปฏิบัติ
และคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออธิบายวิธีการ
กระบวนการในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินชีวิต บทความประเภทนี้ เช่น วิธีการประหยัดไฟ
การดำเนินชีวิตในยุคข้าวยากหมากแพง วิธีการประกอบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2. บทความแสดงความคิดเห็นทั่วไป
เป็นบทความที่มุ่งแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องใดเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งประเด็นทางสังคม
เศรษฐกิจ หรือเป็นเรื่องที่ควรรู้ กำลังอยู่ในกระแสความสนใจ
โดยเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นในแง่มุมต่างๆ และแสดงความคิดเห็น
บทความประเภทนี้อาจเสนอแนวคิดใหม่ๆ ที่น่าสนใจที่แตกต่างจากเดิมก็ได้
ความคิดเห็นที่เสนอในบทความนี้จะหนักเบาขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการเขียนและประเด็นเรื่องที่นำเสนอ
ซึ่งอาจมีตั้งแต่เรื่องการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา สิ่งแวดล้อม
สุขภาพ จนถึงเรื่องอื่นๆ ทั่วไป บทความแสดงความคิดเห็นที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตมักจะเชิญชวนให้ผู้ใช้แสดงความคิดเห็นได้ด้วย
เป็นการสื่อสารแบบสองทาง
3. บทความเชิงวิชาการ เป็นบทความที่มุ่งถ่ายทอดความรู้ ความคิด
หรือความคิดเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยนำเสนอข้อมูลที่เที่ยงตรง น่าเชื่อถือ การเขียนบทความประเภทนี้จำเป็นต้องมีการค้นคว้าข้อมูลจากเอกสาร
หรือจากบุคคลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ
และความคิดเห็นที่นำเสนอต้องอ้างเหตุผลตามหลักวิชาการมารองรับ
มีการอ้างอิงหลักฐานหรือผลงานวิจัยประกอบการอธิบาย
4.
บทความวิเคราะห์ เป็นบทความที่มุ่งวิเคราะห์เหตุการณ์
สถานการณ์ที่กำลังเป็นที่สนใจที่มีผลกระทบต่อคนในสังคมโดยการให้ภูมิหลัง เหตุผล
ชี้ประเด็น แสดงความคิดเห็น บทความวิเคราะห์เป็นความคิดเห็นของบุคคลคนเดียว
ซึ่งถ้ามีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนจะได้รับความเชื่อถือ
🔔หลักการเขียนบทความ
การเขียนบทความขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการเขียน
ซึ่งก็มาจากความต้องการและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายว่าต้องการบทความประเภทใด
หลักการเขียนบทความพิจารณาตั้งแต่โครงสร้างการเขียน
ซึ่งประกอบด้วยการตั้งชื่อเรื่อง ความนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป
โครงสร้างการเขียนบทความ
ก็คือเป็นลักษณะทางกายภาพของบทความที่เป็นแนวทางสำหรับการนำเสนอข้อมูลความคิดที่เป็นระบบเพื่อให้ผู้อ่านติดตามความคิดของผู้เขียน
ซึ่งบทความที่ดีต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน นั่นคือสาระเนื้อหา ความคิดและภาษา
โครงสร้างการเขียนจึงเปรียบเหมือนกรอบที่ผู้เขียนกำหนดเนื้อหา
แนวคิดที่น่าสนใจด้วยสำนวนภาษาที่ดีและเหมาะสมเพื่อให้ได้บทความแต่ละประเภทตามต้องการ
โครงสร้างการเขียนบทความประกอบด้วย
ชื่อเรื่อง ความนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป
แต่ละส่วนมีบทบาทหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของการเขียนดังนี้
1. ชื่อเรื่อง
มีบทบาทในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านให้สนใจอยากอ่านบทความ
จึงเป็นข้อเขียนที่สื่อสารให้ผู้อ่านทราบว่าเรื่องที่จะเขียนเป็นเรื่องอะไร
การตั้งชื่อเรื่องที่ดีต้องบอกใจความสำคัญ ประเด็นหลักของเรื่อง
เพื่อให้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน จึงควรสั้นกระชับ ได้ใจความ จดจำได้ง่าย
กระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมของผู้อ่าน ชื่อเรื่องที่ดีต้องสนองวัตถุประสงค์ของการเขียนสะท้อนประเด็นปัญหาที่นำเสนอ
นอกจากนี้เทคนิคการนำเสนอก็จะมีส่วนช่วยในการทำให้ชื่อเรื่องดูสะดุดตาอีกด้วย
การตั้งชื่อเรื่องมีหลายลักษณะ เช่น
- ชื่อเรื่องแบบสรุปเนื้อหา
เป็นชื่อเรื่องที่บอกถึงเนื้อหาของบทความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
- ชื่อเรื่องแบบคำถาม
เป็นชื่อเรื่องที่เป็นคำถาม เพื่อกระตุ้นให้คนอยากรู้
- ชื่อเรื่องแบบคำพูด
เป็นชื่อเรื่องที่เป็นคำพูดซึ่งเป็นประเด็นหลักของเรื่องที่จะเขียน
- ชื่อเรื่องแบบอุปมาอุปมัย
เป็นชื่อเรื่องที่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ
2. ความนำ
มีบทบาทจูงใจความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามเนื้อเรื่องต่อไปจนจบ
ด้วยลีลาภาษาที่กระชับ ไม่เยิ่นเย่อ เสนอประเด็นหลักของเรื่อง
ความนำที่ดีต้องสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านให้อยากอ่านบทความต่อไป
ว่าเรื่องต่อไปจะเป็นอะไรมีความสำคัญและน่าสนใจตรงไหน
นอกจากนี้ยังอาจบอกถึงประเด็นเรื่องที่จะเสนอในเนื้อหาด้วย
ความนำของบทความต้องสื่อความคิดของผู้เขียนทันทีเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน
การเขียนความนำมีหลายแบบ เช่น
แบบพรรณนา แบบบรรยาย แบบคำถาม แบบเปรียบเทียบ แบบสร้างความสงสัย
3. เนื้อเรื่อง
มีบทบาทในการนำเสนอประเด็นเรื่องอย่างละเอียดโดยใช้เทคนิคที่ชวนให้ติดตาม
เนื้อเรื่องมาจากข้อมูลที่ผ่านการค้นคว้าจากแหล่งต่างๆ
เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
เนื้อเรื่องหรือประเด็นเรื่องเป็นส่วนที่สำคัญไม่น้อย
ฉะนั้นการกำหนดประเด็นเรื่องที่จะเขียนควรเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน
หรือมาจากความสนใจของผู้รับผิดชอบในการจัดทำสื่ออินเทอร์เน็ต
ซึ่งปกติถ้าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่หรือมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต
คนจะสนใจ เมื่อได้เรื่องแล้วต้องผ่านการค้นหาข้อมูลหาแง่มุมเรื่องที่น่าสนใจ
เพราะเรื่องหนึ่งๆ มีหลายแง่มุมที่สามารถนำมาเสนอได้
การเขียนเนื้อเรื่องนั้นต่อเนื่องมาจากการเกริ่นนำในความนำ
และเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่านต้องเสนอข้อมูล
และข้อเท็จจริงที่รวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของผู้เขียนให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
เนื้อหาในบทความควรมีสาระที่น่าสนใจ มีข้อมูลที่ชัดเจน โดยเฉพาะบทความวิชาการ
ต้องมีหลักฐานสนับสนุนหรืออ้างอิงให้เกิดความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างการอ้างอิง เช่น
จากเว็บไซด์ www. presscouncil.or.th จากวารสารสมสุข
หินวิมาน “วัฒนธรรมชนชั้นกลางในละครโทรทัศน์ ” รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 26 ( เดือนมกราคม
2543) : 35-38
ข้อเขียนที่ปรากฏทางอินเทอร์เน็ตมีลักษณะเฉพาะ
กล่าวคือเป็นข้อความที่สั้น กระชับ เน้นประเด็นสำคัญของเนื้อหา
ข้อเขียนทางอินเทอร์เน็ตมีลักษณะ ดังนี้
1.
เน้นประเด็นสำคัญที่เป็นจุดเด่นของเนื้อหา
เพื่อให้ข้อความที่จะสื่อสารไม่ยาวเกินไปนัก
ข้อเขียนที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตจะนำเสนอประเด็นที่เป็นจุดเด่นของเนื้อหาโดยตรง
ลักษณะข้อเขียนจึงเป็นหัวข้อเรื่องและจะอธิบายเกี่ยวกับหัวเรื่องนั้นๆ
ในสาระสำคัญเท่านั้น และจะใช้ภาพประกอบในการอธิบายเนื้อหาให้เห็นเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายในการอ่านข้อความยาวๆ
2.
มีการเชื่อมโยงเนื้อหาจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งที่เรียกว่า การลิงค์ข้อความ
ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและอ้างอิงเรื่องอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องได้
3.
มีสารบัญเนื้อหาปรากฏอยู่ทุกหน้าของจอภาพเพื่อความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล
เนื่องจากการอ่านข้อความย้อนกลับไปกลับมาทำให้ไม่สะดวก
การออกแบบหน้าจอจึงควรมีสารบัญเนื้อหาควบคู่ไปกับการแสดงข้อความต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้ทันที
4. ใช้สำนวนภาษาที่สั้น กระชับ
เข้าใจง่าย และมีประเด็นเนื้อหาที่ชัดเจน
รูปแบบสำนวนภาษาที่ใช้บนอินเทอร์เน็ตต้องกระชับ ไม่เยิ่นเย่อ แต่เข้าใจง่าย
และควรหลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยาก
5.
มีภาพหรือแผนภูมิหรือภาพเคลื่อนไหวประกอบเนื้อหาที่นำเสนอ เพื่อให้เกิดความสะดุดตา
น่าติดตาม เรื่องนี้นับเป็นจุดเด่นของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
เพราะสามารถสื่อความหมายได้ดี
นับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของข้อเขียนที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
อมรพรรณ
ซุ้มโชคชัยกุล.๒๕๕๘.หลักการเขียนบทความเพื่อเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต.เข้าถึงโดย
https://www.stou.ac.th/study/sumrit/12-59/page5-1-52.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น